การสื่อสารในครอบครัว
รูปแบบของการสื่อสาร
1 ผู้กล่าวโทษผู้อื่น / คนช่างติ (Blamer)
- ภายนอกดูเสมือนมีอำนาจ ภายในรู้สึกโดดเดียวไม่ประสบความสำเร็จ ความภาคภูมิใจในตนเองต่ำ
2 .ผู้ยอมตามผู้อื่น/คนสยบยอม
- ภายนอกเสมือนให้บริการ ภายในไม่มีคุณค่าถ้าไม่ได้ดูแลผู้อื่น
- ความภาคภูมิใจในตนเองต่ำ “ฉันอยากให้ใครรักฉัน เข้าใจฉัน”
3. คนเจ้าเหตุผล
- ภายนอกเสมือนฉลาด ภายในไม่มั่นคง อ่อนแอ
- คุณค่าในตนเอง ต่ำ
4 ผู้ขัดคอคนอื่น / คนพูดไม่เข้าขา
- ภายนอกดูเสมือนเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ภายในไม่มีใครแคร์ ไม่มีใครใส่ใจ มีความเหงา ขาดจุดมุ่งหมาย คุณค่าตนเองต่ำสุด
- บุคคลประเภทนี้ ชอบทำเป็นไม่เข้าใจ ถกเถียง วิพากษ์วิจารณ์
5. คนเข้าใจคน
- ภายนอกสมดล ภายในรู้สึกดี คุณค่าในตนเองสูง
การสื่อสารในครอบครัว 3 ชนิด
ชนิด
|
ขั้นตอน
|
ผลที่ได้
|
1.)การสื่อสารในชีวิตประจำวัน
|
1.แสดงความต้องการอย่างเปิดเผย
2.ถามความรู้สึกนึกคิดของเขา
3.แสดงความขอบคุณเมื่อเขาตอบสนอง
|
เพิ่มความผูกพันในชีวิตครอบครัว
|
2.)การสื่อสารเมื่อมีความขัดแย้งในความคิดหรือความต้องการที่ไม่ตรงกัน
|
1.บอกความรู้สึกและปัญหา
2. ถึง 4 เช่นเดียวกับชนิดที่1.)
|
แก้ไขความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์
|
3.)การสื่อสารเมื่ออีกฝ่ายอยู่ในสภาวะอารมณ์ที่ไม่ดี
|
1.สะท้อนความรู้สึกของเขาที่เราสังเกตเห็น
|
ลดความกดดันและกลับมาพูดคุยกันได้ตามปกติ
|
การสื่อสารในครอบครัว
นายแพทย์ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ได้เสนอไว้ 3 กรณี ดังนี้
นายแพทย์ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ได้เสนอไว้ 3 กรณี ดังนี้
1.) การสื่อสารในชีวิตประจำวันของครอบครัว ซึ่งถือเป็นทักษะพื้นฐานที่ทุกคนในครอบครัวควรเรียนรู้ และสามารถนำไปใช้ได้ไม่ยาก สรุปเป็น 3 ขั้นตอนดังนี้
1. แสดงความต้องการอย่างเปิดเผย “ฉันอยากไปทายข้าวนอกบ้าน”
2. ถามความรู้สึกนึกคิดของอีกฝ่าย “เธอว่าไง”
3. แสดงความขอบคุณเมื่อเขาตอบสนอง “ขอบคุณ
2.)การสื่อสารเพื่อแก้ไขความขัดแย้งในครอบครัว สรุปได้เป็น 4 ขั้นตอนดังนี้
1. บอกความรู้สึกและปัญหา “ผมรู้สึกไม่สนุกเลยที่พบเพื่อนเก่าของคุณ”
2. แสดงความต้องการอย่างเปิดเผย “ผมขอไม่ไปงานเลี้ยงรุ่นศิษย์เก่าของคุณ”
3. ถามความรู้สึกนึกคิดของเขา “คุณว่าไง”
4. แสดงความขอบคุณเมื่อเขาตอบสนอง “ขอบคุณที่คุณไม่ว่าอะไร”
3.)การสื่อสารเมื่ออีกฝ่ายโกรธ หรือขับข้องใจ ในครอบครัวย่อมจะมีบ้างบางครั้งคราวที่พ่อแม่อยู่ในอารมณ์ไม่ดี หรือเมื่อเราสื่อสารดี ๆ กับเขาแล้วเขายังตอบสนองในทางใช้อารมณ์ซึ่งนับว่าเป็นสถานการณ์ที่ล่อแหลม เป็นตัวการขยายความขัดแย้งให้รุนแรงและทำร้ายจิตใจซึ่งกันและกัน ทางเลือกในสถานการณ์ดังกล่าวนี้มีหลายประการด้วยกัน พ่อแม่อาจใช้วิธีหลีกเลี่ยงสถานการณ์ไปก่อนจนกว่าเขาจะอยู่ในสภาวะอารมณ์ที่ดีขึ้น บางคนอาจใช้อารมณ์ขันเป็นตัวบรรเทาบรรยากาศให้สงบลง หรืออาจใช้การแสดงทางภาษาท่าทาง เช่น จับมือ หรือจับต้นแขน เพื่อแสดงความเห็นใจหรือปลอบให้เขาสงบ แต่ทางเลือกที่สำคัญและได้ผลดีอันหนึ่งก็คือ อาศัยทักษะการสื่อสาร ด้วยการสะท้อนความรู้สึกของเขาโดยมีหลักดังนี้
ทักษะ สะท้อนความรู้สึกของเขาที่เราสังเกตได้ในขณะนั้น
วัตถุประสงค์ เพื่อแสดงความเห็นใจและให้เขารู้ว่าเราเข้าใจเขา
วิธีการ ดูคุณ...(ความรู้สึกที่เราสังเกตเห็น) “ดูคุณกำลังอารมณ์ไม่ดี เลยนะ ”
“ดูคุณโกรธที่ผมไม่ไปงานศิษย์เก่ากับคุณ”
เทคนิคในการให้คำปรึกษาวัยรุ่นและครอบครัว
เทคนิคการตั้งคำถามเวียน(Circular questioning)
การตั้งคำถามเวียนเป็นเทคนิคหรือเครื่องมือหนึ่งที่จะช่วยให้สมาชิกในครอบครอบครัวได้เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของสมาชิกแต่ละคนในครอบครัว ผู้ให้คำปรึกษาครอบครัวอาจเริ่มต้นด้วยการแสดงความรู้สึกกับเรื่องที่เกิดขึ้น แล้วให้สมาชิกในครอบครัวแต่ละคนได้แสดงความรู้สึกเวียนกันจนครบทุกคน
เทคนิคการมองมุมมองใหม่ (Reframing)
จุดมุ่งหมายของการสร้างมุมมองใหม่ (Reframing) ก็คือ การทำให้เกิดการ
เปลี่ยนการรับรู้ใหม่ในพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในครอบครัว ด้วยการเคารพในพฤติกรรมและทำให้เกิดการสร้างสรรค์ ส่งผลทางด้านบวกแก่พวกเขาเอง ผู้ให้คำปรึกษาได้ช่วยให้สมาชิกในครอบครัวได้เปลี่ยนการรับรู้ใหม่ ผู้ให้คำปรึกษาให้ลดการตำหนิโดยการเน้นเจตนาที่ดี
เทคนิคเส้นลวดประสบการณ์ (the wire experience)
จุดประสงค์เพื่อให้บุคลได้มีโอกาสย้อนกลับไปดูประสบการณ์ในอดีตที่แตกต่างกัน
ช่วงใดช่วงหนึ่ง ที่เกิดความตึงเครียด หรือช่วยชีวิตที่ผ่านมา โดยใช้เส้นลวดเป็นอุปกรณ์
เส้นลวดมีคุณสมบัติอ่อน ยืดหยุ่นได้ ดัดได้ง่าย คงรูปอยู่ในสภาพที่เราต้องการ
ได้ อาจใช้เส้นลวดที่มีสีแตกต่างกันก็ได้ ตัดให้มีความยาว 9 ฟุตแจกให้คนละ 1 เส้น ขอร้องให้แต่ละคนมองเส้นลวดของตนเอง เส้นลวดจะเป็นตัวแทนของช่วงชีวิตแต่ละคน หรือเป็นตัวแทนช่วงชีวิตทั้งหมดของบุคคลก็ได้ ตัวอย่างเช่น ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ช่วงที่เกี่ยวพาราสี (The courtship period) ช่วงปีกของการแต่งงาน ช่วงเวลาที่มีลูกคนแรก หรือช่วงอื่น ๆ อย่างไรก็ตามทำให้เราได้เห็นความแตกต่างของประสบการณ์ในช่วงชีวิตที่ผ่านมา หลังจากทำเสร็จแล้ว ขอร้องให้แต่ละคนได้แชร์คำตอบ หรือเรียนรู้เกี่ยวกับช่วงชีวิตของตนเองที่เลือกสรรมาแล้ว อธิบายหรือพรรณนาส่วนที่โค้งงอ บิดเป็นเกลียว
เทคนิคเชือกความสัมพันธ์(Ropes)
เชือกจะถูกใช้เป็นเครือข่ายความสัมพันธ์ภายในครอบครัว เป็นเทคนิคที่ดีที่จะแสดง
ให้เห็นส่วนที่สำคัญส่วนหนึ่งในระบบครอบครัว สมาชิกในครอบครัวจะได้รับเชือกเส้นสั้น ๆ ผูกไว้ที่เอวของแต่ละคน เชือกเป็นตัวแทนของความสัมพันธ์ที่ถ่ายทอดไปยังสมาชิกภายในครอบครัว จนกระทั่งแต่ละคนมีเชือกเพิ่มมากขึ้นราวกับว่ามีสมาชิกในครอบครัวมากขึ้น หรือแม้แต่ปลายสุดของเส้นเชือกจะผูกไปยังสมาชิกครอบครัวอื่นก็ได้ สมาชิกของครอบครัวก็จะรู้ว่าเขาจะติดต่อสัมพันธ์กันอย่างไร และความตึงเครียดจะเกิดขึ้นที่เส้นเชือกอย่างไร ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ เป็นเสมือนตัวอย่างที่ทำให้ระบบของครอบครัวมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
เป้าหมายของเทคนิคนี้ เพื่อต้องการให้สมาชิกของครอบครัวได้เห็นการมีส่วนร่วม
สังเกตความสำคัญของการใช้เชือกอย่างสมเหตุสมผล มิฉะนั้นมันจะทำให้ติดพันกันยุ่งยากกันอย่างมาก หรือตึงกันเกินไป บางครั้งสมาชิกในครอบครัวไม่สามารถมองเห็นหรือเข้าใจได้ ถึงความต้องการอิสระในความสัมพันธ์ภายในครอบครัว แต่เชือกที่ผูกติดกันตึง ผูกติดกันอย่างเหนี่ยวแน่นและสับสน เชือกจึงสามารถเอามาใช้แสดงให้เห็นความรู้สึกมีส่วนร่วมของชีวิตในครอบครัว คำตอบที่สมาชิกของครอบครัวได้รับจะเกิดการเรียนรู้จะผ่อนคลายความตึงของเชือก สามารถเรียนรู้ผ่านไปยังความจริงในชีวิตได้
เชือกสามารถใช้แสดง อุปมาหรืออธิบายถึงรูปแบบของการปฏิสัมพันธ์ ความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ หรือสัมพันธภาพ เมื่อความต้องการของครอบครัวได้ถูกหยิบยกขึ้นมา สมาชิกแต่ละคนในครอบครัวจะมีส่วนช่วยกันอย่างไร ที่จะทำให้ความตึงเครียดในครอบครัวที่เกิดขึ้น จะถูกเปลี่ยนรูปนำไปสู่การผ่อนคลายที่ดีขึ้น
เทคนิคการวาดภาพครอบครัว(Family Drawings)
เทคนิคในการวาดภาพครอบครัวมี 3 ลักษณะ ขึ้นอยู่กับผู้ให้คำปรึกษาจะเลือกใช้ลักษณะแรกเป็นการรวมภาพวาดอย่างง่ายของครอบครัว (join family scribble) วิธีนี้ผู้ให้คำปรึกษาจะให้สมาชิกครอบครัวแต่ละคนวาดภาพอย่างง่าย ๆ หวัด ๆ เกี่ยวกับครอบครัว จากนั้นก็เอาภาพวาดของแต่ละคนมาเสนอรวมกันเป็นภาพรวมของครอบครัว ในกระบวนการนี้สมาชิก ได้ประสบการณ์และเรียนรู้ที่จะทำงานของตัวเองและทำงานร่วมกันฉันท์ครอบครัว แล้วนำเอาประสบการณ์และความรู้สึกดังกล่าวมาอภิปรายร่วมกัน ลักษณะที่สอง เป็นการให้สมาชิกครอบครัววาดภาพสิ่งที่เขาหรือเธอ รับรู้เกี่ยวกับตัวเองในครอบครัว แล้วนำมาอภิปรายร่วมกัน (conjoint family drawing) การวาดภาพลักษณะนี้ผู้ให้คำปรึกษาจะเป็นผู้สั่งให้สมาชิกแต่ละคนวาดภาพตามการรับรู้เกี่ยวกับตนเองในครอบครัว ตัวอย่างเช่น น้องชายคนเล็กอาจจะรับว่าพี่ชายคนโตใกล้ชิดกับพ่อแม่มากกว่าตัวเขา ภาพวาดของเขาก็จะสะท้อนให้เห็นความแตกต่างของความใกล้ชิดกับพ่อแม่ระหว่างเขากับพี่ชายของเขา ลักษณะที่สาม เป็นการวาดภาพโดยการใช้สัญลักษณ์ต่าง ๆ เพื่อชี้ให้เห็นช่องว่างในครอบครัว (symbolic drawing of family life space) การวาดภาพแบบนี้มีลักษณะเป็นเทคนิคการฉายภาพ (projective technique) อย่างหนึ่งที่ผู้ให้คำปรึกษาจะวาดวงกลมใหญ่วงกลมหนึ่ง แล้วบอกให้สมาชิกครอบครัววาดทุกอย่างที่เป็นตัวแทนของครอบครัวเอาไว้ในวงกลมนั้น สำหรับบุคคลและสิ่งอื่น ๆ ที่ไม่เป็นตัวแทนของครอบครัวหรือไม่เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวให้วาดเอาไว้นอกวงกลม ในกิจกรรมนี้ผู้ให้คำปรึกษาจะขอให้ครอบครัววาดภาพสมาชิกของครอบครัวในวงกลมใหญ่ และวางตำแหน่งความใกล้ชิดและความห่างไกลตามที่ครอบครัวรับรู้ หลังจากวาดเสร็จผู้ให้คำปรึกษาก็ให้ครอบครัวอภิปรายร่วมกันเกี่ยวกับภาพนั้น
จะเห็นได้ว่าการวาดภาพทั้ง 3 ลักษณะ เมื่อวาดภาพเสร็จแล้วจะต้องตามมาด้วย
การอภิปรายว่า ครอบครัววาดอะไรลงไปเป็นภาพและทำไมจึงวาดภาพนั้น ระยะห่างและระยะใกล้ชิดระหว่างบุคคล และหรือวัตถุมีความหมายอย่างไร จุดมุ่งหมายก็เพื่อที่จะให้ครอบครัวได้สำเร็จพลวัต (dynamics) ของชีวิตครอบครัวจากการรับรู้ของสมาชิกแต่ละคน และจากครอบครัวโดยส่วนรวม (เมธินินทร์ ภิณญูชน. 2539 : 105 – 106)
เทคนิคปฏิมากรรม(Sculping)
เทคนิคการประติมากรรม (Sculpting) คือ การให้สมาชิกครอบครัวแสดงท่าทาง
ต่าง ๆ เพื่อแสดงลักษณะของสัมพันธภาพที่เกิดขึ้นจริงในครอบครัวตามการรับรู้ของสมาชิกคนใดคนหนึ่งหรือมากกว่า สมาชิกทุกคนทำตัวเองราวกับดินเหนียวที่ใช้ในการปั้นสิ่งต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับสมาชิกที่ได้รับบทบาทให้เป็นผู้ปั้นหรือปฏิมากร (sculptor) ทำหน้าที่ปั้นแต่งท่าทางของคนอื่น ๆ ตามการรับรู้ของผู้นั้น ในกระบวนการนี้ เหตุการณ์ต่าง ๆ ในอดีตและรูปแบบของพฤติกรรมต่าง ๆ ที่กระทบต่อครอบครัวจะถูกนำมาปั้นเพื่อให้สามารถรับรู้ได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่นในครอบครัวซึ่งพ่อติดรายการโทรทัศน์มากและไม่ให้ความเอาใจใส่ต่อลูกชายเลยซึ่งเป็นเหตุการณ์ในอดีต แต่ลูกชายซึ่งขณะนี้โตแล้วและจำได้ว่าตัวเองไม่ได้รับการเอาใจใส่ รู้สึกถูกทอดทิ้งอาจจะจัดรูปปั้นออกมาดังนี้ พ่ออาจถูกจัดให้นั่งใกล้กับวัตถุอะไร สักอย่างซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของโทรทัศน์ แล้วลูกชายคนนี้ แยกไปนั่งห่างออกไปอยู่มุมใดมุมหนึ่งของห้อง เมื่อปั้นเสร็จแล้วจะได้ภาพนิ่งจำลอง (Still life portrait) ภาพนิ่งจำลองนี้จะช่วยให้สมาชิกครอบครัวและผู้ให้คำปรึกษาเห็นภาพที่ชัดเจน ของความสัมพันธ์ภายในครอบครัว การใช้เทคนิคประติมากรรมต้องอาศัยขั้นตอน 4 ขั้นตอน และบทบาทประกอบดังต่อไปนี้
<!--[if !supportLists]--> <!--[endif]--> การเลือก เหตุการณ์หรือฉากที่จะเสนอ ผู้ให้คำปรึกษาจะช่วยสมาชิกครอบครัว
ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ปั้นในการเลือกเหตุการณ์หรือฉากการเลือกตัวละคร (role players) เพื่อแสดง การสร้างงานประติมากรรมซึ่งผู้ปั้นจะทำหน้าที่ในการจัดสมาชิกแต่ละคนวาง
ตำแหน่งเฉพาะที่มีความหมาย หลังจากปั้นภาพที่จำลองเสร็จแล้ว ทั้งผู้ปั้นและสมาชิกคนอื่น ๆ ออกจากบทบาทที่ถูกปั้นนั้น แล้วมาร่วมกันอภิปรายถึงประสบการณ์ ความรู้สึก แ ละการหยั่งรู้ (insight) ที่เกิดขึ้นจากการร่วมกิจกรรมประติมากรรมนั้น(เมธินินทร์ ภิณญูชน. 2539 : 104 – 105)
คุณสมบัติของผู้ให้คำปรึกษาวัยรุ่นและครอบครัว
คุณสมบัติที่พึงประสงค์
<!--[if !supportLists]-->1. <!--[endif]-->มีความรู้พื้นฐานทางจิตวิทยา
<!--[if !supportLists]-->2. <!--[endif]-->มีความรู้และทักษะในการให้คำปรึกษาเป็นกลุ่มและรายบุคคล
<!--[if !supportLists]-->3. <!--[endif]-->ผ่านการอบรมการให้คำปรึกษาเบื้องต้นหรือการบำบัดเบื้องต้น
<!--[if !supportLists]-->4. <!--[endif]-->มีประสบการณ์ ในการบำบัดครอบครัว หรือการให้คำปรึกษาครอบครัวอย่างน้อย 1 ปี
<!--[if !supportLists]-->5. <!--[endif]-->มีบุคลิกภาพที่พึงประสงค์ของการเป็นนักบำบัดครอบครัว
<!--[if !supportLists]-->5.1 <!--[endif]-->มีความเป็นมิตร มีสัมพันธภาพอันอบอุ่นกับผู้รับการบำบัด
<!--[if !supportLists]-->5.2 <!--[endif]-->มีความจริงใจ ไม่เสแสร้ง เป็นที่น่าไว้วางใจ
<!--[if !supportLists]-->5.3 <!--[endif]-->ยอมรับผู้รับการบำบัดโดยปราศจากเงื่อนไข
<!--[if !supportLists]-->5.4 <!--[endif]-->รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
<!--[if !supportLists]-->5.5 <!--[endif]-->มีความเข้าใจ และเห็นใจผู้อื่น
<!--[if !supportLists]-->5.6 <!--[endif]-->ให้เกียรติและเคารพในคุณค่าของความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น
<!--[if !supportLists]-->5.7 <!--[endif]-->มีความสุขุมและมีความมั่นคงทางจิตใจ
<!--[if !supportLists]-->5.8 <!--[endif]-->มีความยืดหยุ่น ไม่ตายตัว ใจกว้าง เปิดตนเองให้กับประสบการณ์ใหม่ ๆ
<!--[if !supportLists]-->5.9 <!--[endif]-->มีความรับผิดชอบ มุ่งมั่นที่จะให้ความช่วยเหลือและบริการ
5.10 มีความสามารถในการคิดอย่างเป็นระบบ
5.11 มีความมั่นใจในตนเอง
5.12 สามารถรักษาความลับได้
5.13 มีจรรยาบรรณวิชาชีพ
<!--[if !supportLists]-->6. <!--[endif]-->มีความรู้เกี่ยวกับ การพิทักษ์สิทธิผู้ป่วย
<!--[if !supportLists]-->7. <!--[endif]-->มีความรู้เกี่ยวกับ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น พระราชบัญญัติสิทธิผู้ป่วยกฏหมายวิชาชีพ
บทบาทหน้าที่ของผู้ไห้คำปรึกษาวัยรุ่นและครอบครัว
<!--[if !supportLists]-->1. <!--[endif]-->สามารถสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นมิตร ที่ก่อให้เกิดความไว้วางใจซึ่ง
กันและกันระหว่างผู้รับการบำบัดและนักบำบัด
<!--[if !supportLists]-->2. <!--[endif]-->สามารถสื่อให้ผู้รับการบำบัดเข้าใจวัตถุประสงค์ของการบำบัดครอบครัว
<!--[if !supportLists]-->3. <!--[endif]-->ช่วยให้ผู้รับการบำบัดมีความเข้าใจตนเองและบริบทแวดล้อม
<!--[if !supportLists]-->4. <!--[endif]-->สนับสนุน ให้กำลังใจ เอื้ออำนวยความสะดวก ที่จะช่วยให้ผู้รับการบำบัด พยายามแก้ปัญหา และสามารถตัดสินใจด้วยตนเอง ตลอดจน สามารถ ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงตนเองและปรับตัวได้เหมาะสมยิ่งขึ้น
<!--[if !supportLists]-->5. <!--[endif]-->ให้กำลังใจผู้รับการบำบัดในการแก้ปัญหา ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตนเอง ตลอดทั้ง วางแผนเพื่ออนาคต
<!--[if !supportLists]-->6. <!--[endif]-->สามารถประสานงานกับบุคลากรในหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อประโยชน์ของผู้รับการบำบัด
<!--[if !supportLists]-->7. <!--[endif]-->ติดตามผลและประเมินผลของการให้บริการการบำบัดครอบครัว
<!--[if !supportLists]-->8. <!--[endif]-->พัฒนายุทธวิธีในการบำบัดครอบครัวให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
แหล่งอ้างอิง : เอกสารประกอบการบรรยาย:การให้คำปรึกษาวัยรุ่นและครอบครัว
ดร.เพ็ญนภา กุลนภาดล ภาควิชาวิจัยและจิตวิทยาประยุกต์ มหาวิทยาลัยบูรพา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น